assignment2

1.จงอธิบายการทำงานของ Internet

ตอบ

การสื่อสารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จะมีโปรโตคอล (Protocol) ซึ่งเป็นระเบียบวิธีการสื่อสารที่เป็นมาตรฐานของการเชื่อมต่อกำหนดไว้ โปรโตคอลที่เป็นมาตรฐานสำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต คือ TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol)

เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะต้องมีหมายเลขประจำเครื่อง ที่เรียกว่า IP Address เพื่อเอาไว้อ้างอิงหรือติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในเครือข่าย ซึ่ง IP ในที่นี้ก็คือ Internet Protocol ตัวเดียวกับใน TCP/IP นั่นเอง IP address ถูกจัดเป็นตัวเลขชุดหนึ่งขนาด 32 บิต ใน 1 ชุดนี้จะมีตัวเลขถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ส่วนละ 8 บิตเท่าๆ กัน เวลาเขียนก็แปลงให้เป็นเลขฐานสิบก่อนเพื่อความง่ายแล้วเขียนโดยคั่นแต่ละส่วนด้วยจุด (.) ดังนั้นในตัวเลขแต่ละส่วนนี้จึงมีค่าได้ไม่เกิน 256 คือ ตั้งแต่ 0 จนถึง 255 เท่านั้น เช่น IP address ของเครื่องคอมพิวเตอร์ของสถาบันราชภัฎสวนดุสิต คือ 203.183.233.6 ซึ่ง IP Address ชุดนี้จะใช้เป็นที่อยู่เพื่อติดต่อกับเครื่องพิวเตอร์อื่นๆ ในเครือข่าย

โดเมนเนม (Domain name system :DNS)

เนื่องจากการติดต่อสื่อสารกันกันในระบบอินเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอล TCP/IP เพื่อสื่อสารกัน โดยจะต้องมี IP address ในการอ้างอิงเสมอ แต่ IP address นี้ถึงแม้จะจัดแบ่งเป็นส่วนๆ แล้วก็ยังมีอุปสรรคในการที่ต้องจดจำ ถ้าเครื่องที่อยู่ในเครือข่ายมีจำนวนมากขึ้น การจดจำหมายเลข IP ดูจะเป็นเรื่องยาก และอาจสับสนจำผิดได้ แนวทางแก้ปัญหาคือการตั้งชื่อหรือตัวอักษรขึ้นมาแทนที่ IP address ซึ่งสะดวกในการจดจำมากกว่า เช่น IP address คือ 203.183.233.6 แทนที่ด้วยชื่อ dusit.ac.th ผู้ใช้งานสามารถ จดจำชื่อ dusit.ac.th ได้ง่ายกว่า การจำตัวเลข

โดเมนที่ได้รับความนิยมกันทั่วโลก ที่ถือว่าเป็นโดเมนสากล มีดังนี้ คือ

.com ย่อมาจาก commercial สำหรับธุรกิจ

.edu ย่อมาจาก education สำหรับการศึกษา

.int ย่อมาจาก International Organization สำหรับองค์กรนานาชาติ

.org ย่อมาจาก Organization สำหรับหน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร

.org ย่อมาจาก Organization สำหรับหน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร

การขอจดทะเบียนโดเมน

การขอจดทะเบียนโดเมนต้องเข้าไปจะทะเบียนกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ชื่อโดเมนที่ขอจดนั้นไม่สามารถซ้ำกับชื่อที่มีอยู่เดิม เราสามารถตรวจสอบได้ว่ามีชื่อโดเมนนั้นๆ หรือยังได้จากหน่วยงานที่เราจะเข้าไปจดทะเบียน

การขอจดทะเบียนโดเมน มี 2 วิธี ด้วยกัน คือ

1. การขอจดะเบียนให้เป็นโดเมนสากล (.com .edu .int .org .net ) ต้องขอจดทะเบียนกับ http://www.networksolution.com ซึ่งเดิม คือ www.internic.net

2. การขอทดทะเบียนที่ลงท้ายด้วย .th (Thailand)ต้องจดทะเบียนกับ www.thnic.net

โดเมนเนมที่ลงท้าย ด้วย .th ประกอบด้วย

ac.th ย่อมาจาก Academic Thailand สำหรับสถานศึกษาในประเทศไทย

.co.th ย่อมาจาก Company Thailand สำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจในประเทศไทย

.go.th ย่อมาจาก Government Thailand สำหรับหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล

.net.th ย่อมาจาก Network Thailand สำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเครือข่าย

.or.th ย่อมาจาก Organization Thailand สำหรับหน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร

.in.th ย่อมาจาก Individual Thailand สำหรับของบุคคลทั่วๆ ไป

อ้างอิงhttp://vclass.mgt.psu.ac.th/~465-302/2006-2/Assignment-02/BPA_29_08_2/page_4.htm

2.เมื่อนักศึกษาต้องการใช้ internet กับอุปกรณ์สื่อสารหรือคอมพิวเตอร์มีวิธีการอย่างไร

ตอบ

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบใช้สาย (Wire Internet)

1. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตรายบุคคล (Individual Connection)

      การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตรายบุคคล คือ การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากที่บ้าน (Home user) ซึ่งยังต้องอาศัยคู่สายโทรศัพท์ในการเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้ต้องสมัครเป็นสมาชิกกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตก่อน จากนั้นจะได้เบอร์โทรศัพท์ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต รหัสผู้ใช้ (User name) และรหัสผ่าน (Password) ผู้ใช้จะเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตได้โดยใช้โมเด็มที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้หมุนไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต จากนั้นจึงสามารถใช้ งานอินเทอร์เน็ตได้ ดังรูป

องค์ประกอบของการใช้อินเทอร์เน็ตรายบุคคล

1. โทรศัพท์

2. เครื่องคอมพิวเตอร์

3. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะให้เบอร์โทรศัพท์ รหัสผู้ใช้และรหัสผ่าน

4. โมเด็ม (Modem)

โมเด็ม คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงสัญญาณ เนื่องจากสัญญาณในคอมพิวเตอร์เป็นสัญญาณดิจิทัล (Digital) แต่สัญญาณเสียงในระบบโทรศัพท์เป็นสัญญาณอนาล็อก (Analog) ดังนั้นเมื่อต้องการเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตจึงต้องใช้โมเด็มเพื่อเป็นอุปกรณ์ในการแปลงสัญญาณดิจิทัลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณอนาล็อกตามสายโทรศัพท์ และแปลงกลับจากสัญญาณอนาล็อกเป็นสัญญาณดิจิทัล เมื่อถึงปลายทาง

ความเร็วของโมเด็มมีหน่วยเป็น บิตต่อวินาที (bit per second : bps) หมายความว่า ในหนึ่งวินาที จะมีข้อมูลถูกส่งออกไป หรือรับเข้ามากี่บิต เช่น โมเด็มที่มีความเร็ว 56 Kpbs จะสามารถ รับ-ส่งข้อมูลได้ 56 กิโลบิตในหนึ่งวินาที

โมเด็มสามารถแบ่งได้ 3 ประเภท คือ

1. โมเด็มแบบติดตั้งภายนอก (External modem)

เป็นโมเด็มที่ติดตั้งกับคอมพิวเตอร์ภายนอก สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก เพราะในปัจจุบันการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์จะผ่าน USB พอร์ต (Universal Serial Bus) ซึ่งเป็นพอร์ตที่นิยมใช้กันมาก ราคาของโมเด็มภายนอกไม่สูงมากนัก แต่จะยังมีราคาสูงกว่าโมเด็มแบบติดตั้งภายใน รูปที่ 6.3 แสดงโมเด็มภายนอก

 2. โมเด็มแบบติดตั้งภายใน (Internal modem)

เป็นโมเด็มที่เป็นการ์ดคอมพิวเตอร์ที่ต้องติดตั้งเข้าไปกับแผงวงจรหลักหรือเมนบอร์ด (main board) ของเครื่องคอมพิวเตอร์ โมเด็มประเภทนี้จะมีราคาถูกว่าโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก เวลาติดตั้งต้องอาศัยความชำนาญในการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ และติดตั้งไปกับแผงวงจรหลัก

 3. โมเด็มสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก (Note Book Computer) อาจเรียกสั้นๆว่า PCMCIA modem

2. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบองค์กร (Corporate Connection)

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบองค์กรนี้จะพบได้ทั่วไปตามหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน หน่วยงานต่างๆ เหล่านี้จะมีเครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN) เป็นของตัวเอง ซึ่งเครือข่าย LAN นี้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ผ่านสายเช่า (Leased line) ดังนั้น บุคลากรในหน่วยงานจึงสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านระบบ LAN ไม่มีการสร้างการเชื่อมต่อ (Connection) เหมือนผู้ใช้รายบุคคลที่ยังต้องอาศัยคู่สายโทรศัพท์ในการเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wireless Internet)

1. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายผ่านเครื่องโทรศัพท์บ้านเคลื่อนที่ PCT

เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก (Note book) และคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Pocket PC) ผู้ใช้จะต้องมี โมเด็ม ชนิด PCMCIA ของ PCT ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตไร้ได้ ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑลได้

2. การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือโดยตรง (Mobile Internet)

1. WAP (Wireless Application Protocol) เป็นโปรโตคอลมาตรฐานของอุปกรณ์ไร้สายที่ใช้งานบนอินเทอร์เน็ต ใช้ภาษา WML (Wireless Markup Language) ในการพัฒนาขึ้นมา แทนการใช้ภาษา HTML (Hypertext markup Language) ที่พบใน www โทรศัพท์มือถือปัจจุบัน หลายๆยี่ห้อ จะสนับสนุนการใช้ WAP เพื่อท่องอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ 9.6 kbps และการใช้ WAP ท่องอินเทอร์เน็ตนั้น จะมีการคิดอัตราค่าบริการเป็นนาทีซึ่งยังมีราคาแพง

2. GPRS (General Packet Radio Service) เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้โทรศัพท์มือถือสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วสูง และสามารถส่งข้อมูลได้ในรูปแบบของมัลติมีเดีย ซึ่งประกอบด้วย ข้อความ ภาพกราฟิก เสียง และวีดิโอ ความเร็วในการรับส่งข้อมูลด้วยโทรศัพท์ที่สนับสนุน GPRS อยู่ที่ 40 kbps ซึ่งใกล้เคียงกับโมเด็มมาตรฐานซึ่งมีความเร็ว 56 kbps อัตราค่าใช้บริการคิดตามปริมาณข้อมูลที่รับ-ส่ง ตามจริง ดังนั้นจึงทำให้ประหยัดกว่าการใช้ WAP และยังสื่อสารได้รวดเร็วขึ้นด้วย

3. โทรศัพท์ระบบ CDMA (Code Division Multiple Access) ระบบ CDMA นั้น สามารถรองรับการสื่อสารไร้สายความเร็วสูงได้เป็นอย่างดี โดยสามารถทำการรับส่งข้อมูลได้สูงสุด 153 Kbps ซึ่งมากกว่าโมเด็มที่ใช้กับโทรศัพท์ตามบ้านที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เพียง 56 kbps นอกจากนี้ ระบบ CDMA ยังสนับสนุนการส่งข้อมูลระบบมัลติมีเดียได้ด้วย

4. เทคโนโลยี บลูทูธ (Bluetooth Technology) เทคโนโลยีบลูทูธ ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับการสื่อสารแบบไร้สาย โดยใช้หลักการการส่งคลื่นวิทยุ ที่อยู่ในย่านความถี่ระหว่าง 2.4 – 2.4 GHz ในปัจจุบันนี้ได้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้เทคโนโลยีไร้สายบลูธูทเพื่อใช้ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายๆชนิด เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค คอมพิวเตอร์พ็อคเก็ตพีซี

3. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยโน้ตบุ๊ก(Note book) และ เครื่องปาล์ม (Palm) ผ่าน โทรศัพท์มือถือที่สนับสนุนระบบ GPRS

โทรศัพท์มือถือที่สนับสนุน GPRS จะทำหน้าที่เสมือนเป็นโมเด็มให้กับอุปกรณ์ที่นำมาพ่วงต่อ ไม่ว่าจะเป็น Note Book หรือ Palm และในปัจจุบันบริษัทที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้มีการผลิต SIM card ที่เป็น Internet SIM สำหรับโทรศัพท์มือถือเพื่อให้สามารถติดต่อกับอินเทอร์เน็ตได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น

อ้างอิงhttp://vclass.mgt.psu.ac.th/~465-302/2006-2/Assignment-02/BPA_29_08_2/page_4.htm

3.Home Network หมายถึงอะไร และมีวิธีการทำอย่างไร

ตอบ  เครือข่ายในบ้าน หรือ Home Networking  ก็คือเครือข่ายที่เชื่อมโยงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆในบ้านเข้าด้วยกัน เนื่องจากในปัจจุบันคอมพิวเตอร์แทบจะกลายเป็นอุปกรณ์ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านไปแล้ว

จะเห็นได้ว่าห้างสรรพสินค้าต่างๆ เริ่มมีการนำเอาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆไปวางจำหน่ายในแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้ากันถ้วนหน้า จำนวนคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในบ้านหลังหนึ่งๆก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจากเพียงเครื่องเดียวเป็นหลายๆเครื่องตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว จากข้อมูลของบริษัท intel ได้แสงให้เห็นว่าจำนวนครัวเรือนที่มีเครื่องพีซีมากกว่า 1 เครื่องมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยมีการปรพมาณไว้ว่าในปี 2003 จะมีถึง 28 ล้านครัวเรือน (ในอเมริกา)ตามรูป

ผมอยากให้คุณลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าลักษณะของการใช้งานเครื่องพีซีในบ้านหลายๆเครื่องนั้นเป็นอย่างไร สมมติว่าครอบครัวคุณสมชาย มีคุณพ่อจอมขยันที่ชอบหิ้วโน้ตบุ๊คไปมาระหว่างบ้านและที่ทำงานเพื่อหอบงานกลับมาทำที่บ้าน ลูกชายคนโตเรียนอยู่มหาวิทยาลัยก็มีเครื่องพีซีในห้องนอนสำหรับทำรายงานต่างๆ ที่ห้องรับแขกก็มีเครื่องพีซีพร้อมพริ้นเตอร์และสแกนเนอร์แถมพกด้วยโมเด็มสำหรับเล่นอินเตอร์เน็ต คุณแม่หัวใสซื้อเครื่องพีซีที่มี DVD-ROM มาต่อกับทีวีสำหรับดูหนังฟังเพลงหรือคาราโอเกะในกห้องนั่งเล่น ลูกชายคนเล็กก็มีเครื่องพีซีสเป็คสูงไว้ใช้เล่นเกมโดยเฉพาะ เป็นต้น

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้จำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อครัวเรือนเพิ่มมากขึ้นก็คือราคาของเครื่องถูกลงในขณะที่ประสิทธิภาพของเครื่องสูงขึ้นมาก มีการพัฒนาทางด้านฮาร์ดแวรืใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย ทำให้เครื่องพีซีที่เพิ่งจะซื้อไปได้ไม่นานเกิดล้าสมัยทันทีแอพพลิเคชั่นหรือโปรแกรมรุ่นใหม่ๆตางก็ต้องการเครื่องสเป็คสูงๆ ดังนั้นเราในฐานะผู้บริโภคจึงถูกบังคับให้ต้องซื้อเครื่องใหม่หรืออัพเกรดเครื่องอยู่บ่อยๆ บางครั้งเครื่องเก่าก็อัพเกรดไม่ได้ ครั้นจะเอาไปขายต่อคนอื่นก็ไม่มีใครเอาหรือไม่คุ้มค่า จึงจำใจต้องเก็บไว้ใช้งานประเภทอื่นๆที่ไม่ต้องอาศัยกำลังของเครื่องมากนัก ทั้งหมดนี้จึงทำให้เครื่องพีซีในบ้านของคุณเพิ่มมากขึ้นเป็ฯหลายเครื่องโดยปริยาย

คราวนี้เรามาดูว่าเหตุใดจึงจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายในบ้านขึ้นมาเชื่อมโยงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆเข้าด้วยกัน จากตัวอย่างก่อนหน้านี้
สมมติว่าคุณพ่ออยากจะส่ง E-mail จากโน้ตบุ๊คผ่านอินเตอร์เน็ตไปให้ลูกค้าที่อเมริกา ลูกชายคนโตอยากจะพิมพ์เอกสารออกทางพริ้นเตอร์ที่อยู่ในห้องรับแขก ลฃูกชายคนเล็กอยากเล่นเกมกับพี่ชายผ่านระบบเครือข่าย หรือคุณแม่อยากจะดาวน์โหลดไฟล์ MP3จากอินเตอร์เน็ตมาฟังในเครื่องพีซีที่อยู่ในห้องนั่งเล่นจะทำอย่างไรปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้โดยการสร้างเครือข่ายเช่อมโยงคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเข้าด้วยกัน ซึ่งก็คือเครือข่ายในบ้านที่เรากำลังพูดถึงนั้นเอง คุณอาจคิดว่าปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนัก แต่ถ้าเรามีวิธีที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ในราคาที่ไม่แพงนัก มันก็น่าสนใจใช่ไหมครับ ดังนั้นผมขอสรุป

วัตถุประสงค์ในการสร้าง เครือข่ายในบ้านไว้เป็นข้อๆ ดังนี้คือ

1.แชร์พรินเตอร์ (Sharing Printer)
2.แชร์ไฟล์หรือฮาร์ดดิสก์ (Sharing Files)
3.แชร์โมเด็ม (Sharing Modem)
4.แชร์อินเตอร์เน็ต (Sharing Internet)
5.เล่นเกมผ่านระบบ LAN (Multi-user Games)
6.แชร์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์อื่นๆ เช่น CD-ROM สแกนเนอร์ (Sharing Peripheral)
7.ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เช่น ส่งข้อความโต้ตอบกัน (Chat) หรือรับส่ง E-mail
8.อื่นๆ ตัวอย่างเช่น ใช้ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ใช้เปิดปิดประตูหรือเครื่องปรับอากาศ หรือใช้ควบคุมกล้องวิดิโอวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ตามจุดต่างๆทั่วบ้าน เป็นต้น

นอกจากนี้ จากข้อมูลของบริษัท intel ยังได้ประมาณว่าจำนวนครัวเรือนที่มีการติดตั้งเครือข่ายใบ้านจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมาก
โดยเฉพาะในปี 2003 และ 2004 ดังรูป



 เทคโนโลยีสำหรับการสร้างเครือข่ายในบ้าน เครือข่ายในบ้านที่ผมจะกล่าวถึงนี้ จะเน้นเฉพาะหลักการและอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับสร้างเครือข่าย กล่าวคือจะเป็นเรื่องของทางกายภาพนั่นเอง แต่จะไม่กล่าวถึงเรื่องที่จะนำเครือข่ายนี้ไปใช้งานอย่างไร ตัวอย่างเช่น คุณอาจนำไปใช้สร้างเครือข่ายทางตรรก (Logical) แบบ Peer-to-Peer หรือ Client-server ก็ได้หรือจะใช้เป็นแบบ Microsoft Networks หรือไม่ก็แล้วแต่ความต้องการของคุณ
การสร้างเครือข่ายเพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในบ้านคุณ ปัจจุบันสามารถทำได้หลายวิธีในราคาที่ไม่แพงนัก ซึ่งแตกต่างจากในสมัยก่อนมากที่ราคาของอุปกรณ์สำหรับการสร้างเครือข่ายที่ค่อนข้างแพง ไม่เหมาะกับการลงทุน อย่างไรก็ตามบางวิธีที่นำเสนอนี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นของการพัฒนาจึงยังไม่แพร่หลายนัก สำหรับเทคโนโลยีที่คุณสามารถจะเลือกมาใช้ได้มีดังนี้

 

ระบบ LAN (Ethernet) แบบสตาร์
วิธีนี้ก็คือการสสร้างระบบ LAN แบบสตาร์ ระบบ LAN แบบนี้นิยมใช้ในบริษัทหรือตามร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ทั่วๆไป ถ้าคุณจะนำมาใช้ในบ้านของคุณเองก็ไม่ผิดครับ ผมว่าดีเสียอีก เนื่องจากราคาอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็น Hub/Switch,การ์ด LAN และสาย UTP ในปุจจุบันค่อนข้างถูกในขณะที่ความเร็วในการรับส่งข้อมูลมากถึง 100 Mbps (จริงๆในปัจจุบันได้ถึง 1000Mbps แต่อุปกรณ์ยังราคาแพงอยู่) ซึงเพียงพอต่อการเล่นเกผ่านระบบ LAN ได้อย่างสบายวิธีนี้พวกร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่นำไปใช้เป็นสูตรสำเร็สในกสร้างระบบ LAN ภายในร้านกันถ้วนหน้า




ระบบ LAN (Ethernet) แบบบัส
        ระบบเครือข่ายแบบนี้ก็คือระบบ LAN แบบบัส ระบบ LAN แบบนี้ไม่ต้องมี Hub/Switch แต่สายที่ใช้จะต้องเป็นสายที่เรียกว่า สาย Coaxial และการ์ด LAN ที่ใช้ต้องเป็นแบบ BNC ซึ่งจะทำความเร็วได้สูงสุด 10 Mbps

ใช้สาย USB เชื่อมระหว่างพอร์ต USB ของพีซีและ USB Hub
วิธีนี้ใช้ได้กับเครื่องพีซีรุ่นใหม่ๆที่มีพอร์ต USB ติดมาด้วย แต่ถ้าคุณมีพีซีรุ่นเก่าที่ไม่มีพอร์ต USB คุณก็เพียงแต่ไปซื้อการ์ด PCI-USB มาเสียบในสล็อต PCI ได้ในราคาที่ไม่แพง นอกจากนี้คุณก็ต้องมร Hub ชนิดพิเศษที่เรียกว่า USB Hub พร้อมด้วยสาย USB สำหรับความเร็วของการับส่งข้อมูลทำได้สูงสุดที่ 12 Mbps โดยอุปกรณ์เพิ่มเติมที่ต้องใช้ก็คือ USB Hub ซึ่งทำหน้าที่คล้ายๆกับ Hub ในระบบ LAN แบบสตาร์และสาย USB

                           
    กลับขึ้นด้านบน

HomePNA (Home Phoneline Network) 

คือเครือข่ายที่ใช้สายโทรศัพท์ภายในบ้าน(เหมาะสำหรับบ้านที่มีการเดินสายโทรศัพท์ภายในที่เป็นระบบอยู่แล้วจึงเหมาะที่จะหยิบเอาสายเหล่านั้นมาใช้ ซึ่งบ้านฝรั่งจำนวนไม่น้อยที่ป็นแบบนั้น) ถ้าบ้านคุณยังไม่มีการเดินสายโทรศัพท์แบบมีระบบอยู่แล้วผมแนะนำให้หลีกเลี่ยงครับ เพราะราคาสูงพอๆ กับ LAN 100 MB แต่ได้ความเร็วเพียง 10 MB เว้นเสียแต่ว่าคุณกำลังจะเดินสายโทรศัพท์ใหม่อยู่แล้วก็ได้เลยครับ สำหรับหน้าตาของ HomePNA ในบ้านคุณเป็นอย่างไรก็ลองพิจารณาจากรูปต่อไปนี้ครับ

                       

 

HomePNA ในรุ่นแรก (HomePNA 1.0) ทำความเร็วได้ 1 Mbps ส่วนในปัจจุบัน (HomePNA 2.0) ทำความเร็วได้ 10 Mbps สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ก็คือคุณจะต้องมีการ์ดหรือ Adapter ที่ทำหน้าที่คล้ายๆโมเด็มซึ่งมีทั้งแบบภายในหรือภายนอกสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาได้ที่ www.homepna.org

 



HomePlug หรือ Home Powerline Network
คือเครือข่ายที่รับส่งข้อมูลโดยผ่านสายไฟฟ้าภายในบ้าน วิธีนี้เป็นความคิดที่ดีมากเนื่องจากบ้านทุกหลังแทบจะมีการเดินสายไฟกันไปทั่วบ้านอยู่แล้ว คุณเพียงแต่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับอุปกรณ์พิเศษซึ่งต้องเสียบเข้ากับปลั๊กไฟไว้เสมอในขณะที่ใช้งานอยู่ สำหรับวิธีการเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์พิเศษนี้ก็มีตั้งแต่การเชื่อมต่อผ่านพอร์ตขนาน (พอร์ตที่ใช้ต่อพริ้นเตอร์) พอร์ต USB หรืออาจจะเป็นการ์ดที่ใช้เสียบในเครื่องโดยเฉพาะ


เพียงเท่านี้คุณก็สามารถรับส่งข้อมูลกันได้แล้ว ปัจจุบันเทคโนโลยีของ Home Powerline Network ยังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา โดยมีองค์กรที่ชื่อว่า HomePlug ซึ่งตั้งขึ้นจากการรวมตัวกันของผู้ผลิตต่างๆเพื่อกำหนดมาตราฐานของ Home Powerline Network อยู่ สำหรับความเร็วที่ทำได้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกใช้อุปกรณ์ของยี่ห้อใด ตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ของบริษัท Intello (www.intello.com) ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่ชื่อว่า “PowerPacket” ที่สามารถทำความเร็วได้ถึง 10-14 Mbps เลยทีเดียว คุณสามารถเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซท์ของ HomePlug คือ www.homeplug.org หรือเว็บไซท์ของผู้ผลิตบางรายที่สำคัญอย่าง www.intello.com หรือ www.enikia.com




เครือข่ายแบบไร้สาย (Wireless)
เครือข่ายแบบไร้สายคือเครือข่ายที่อาศัยคลื่นวิทยุ (Radio Frequency) ในการรับส่งข้อมูล ซึ่งในปัจจุบันมีมาตราฐานอยู่ 2 แบบคือ HomeRF (Home Radio Frequency) และ 802.11B

HomeRF     

จัดเป็นมาตราฐานหนึ่งของเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลแบบไร้สาย (Wireless) ที่ใช้คลื่นวิทยุในช่วงความถี่ 2.4 GHz ในการรับส่งข้อมูล เทคโนโลยีของ HomeRF ในรุ่นแรกๆทำความเร็วได้ 1.6 Mbps แต่ในปัจจุบันสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 10 Mbps สำหรับระยะทำการของ HomeRF คือ 160 ฟุตหรือประมาณ 50 เมตรซึ่งเพียงพอต่ออาณาบริเวณบ้าน แต่ถ้าบ้านคุณใหญ่มากก็คงช่วยไม่ได้ครับ คงต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นๆและสามารถต่ออุปกรณ์ได้ 128 ชิ้น นอกจากนี้ไม่ว่าคุณจะนั่งอยู่ในซอกหรือในมุมอับอย่างไรก็ไม่ขาดการติดต่อตราบใดที่ยังอยู่ในระยะทำการ เนื่องจากคลื่นวิทยุนี้มีคุณสมบัติในการทะลุทะลวงสิ่งกีดขวางต่างๆได้ดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผนัง กำแพง เพดาน เป็นต้น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมของ HomeRF สามารถหาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซท์ http://www.homerf.org

 


IEEE 802.11B หรือ Wireless LAN (WLAN)    

เทคโนโลยีอีกชนิดหนึ่งที่เป็นคู่แข่งกับ HomeRF ที่กำลังมาแรงก็คือ IEEE 802.11B หรือที่มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า Wireless LAN ซึ่งมีหลักการทำงานคล้ายๆกับ HomeRF แต่มีระยะทำการไกลกว่าคือ 300 ฟุตหรือประมาณเกือบๆ 100 เมตร ทำความเร็วได้สูงสุดคือ 11 Mbps และสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ 128 ชิ้น แต่ราคาค่อนข้างสูงกว่า HomeRF เหมาะจะใช้ในสำนักงานมากกว่า เทคโนโลยีของ IEEE 802.11B นี้คาดว่าจะชนะเทคโนโลยีแบบ HomeRF ได้ในอนาคตเนื่องจากระยะทำการไกลกว่าในขณะที่ความเร็วก็สูงกว่าด้วย หน่วยงานที่มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์เทคโนโลยีของ IEEE 802.11B คือ Wireless Ethernet Compatibility Alliance หรือ WECA (www.wi-fi.com) หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ieee802.org


สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้จะมีอุปกรณ์ที่ชื่อว่า Wireless Access Point ที่ทำหน้าที่คล้าย Hub ในระบบ LAN แบบสตาร์ และที่ตัวเครื่องลูกข่ายจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คล้ายๆกับการ์ด LAN และ PCMCIA หรือจะเป็นแบบภายนอกที่ต่อเข้ากับพอร์ต USB ของเครื่องพีซีก็ได้ดังรูป

 

 

แนวโน้มของการผลิตอุปกรณ์ในอนาคตอันใกล้นี้จะมีการนำเอาความสามารถในการสื่อสารแบบไร้สายไปทำเป็นชิพที่ฝังอยู่ในเมนบอร์ดของเครื่องพีซี , โน้ตบุ๊ค , PDA ,โทรศัพท์มือถือ หรือแม้แต่ในรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าตามบ้านทั่วไป ซึ่งเราจะเรียกอุปกรณ์ประเภทนี้ว่า “Embedded System

 

อ้างอิงhttp://www.oocities.org/u403748/

4.3G และ ADSL มีความแตกต่างกันอย่างไร

ตอบ  ระบบ 3G คือ ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุคที่สาม (Third Generation of Mobile Telephone – 3G) ซึ่งมี สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU (International Telecommunication Union) ซึ่งเป็นองค์กรชำนาญพิเศษแห่งสหประชาชาติ ทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำตลอดจนวางหลักเกณฑ์ในบริหาร และการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมให้กับประเทศต่างๆที่เป็นสมาชิกทั่วโลก โดยมีแนวทางในการวางหลักเกณฑ์ทางการบริหารทรัพยากรด้านโทรคมนาคมของแต่ละประเทศสมาชิก เพื่อให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน

ทั้งนี้ 3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ซึ่งยังมีข้อจำกัดอยู่มากในด้านความรวดเร็วและคุณภาพของข้อมูลที่ทำการส่ง โดยการพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการแบบมัลติมีเดีย และส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น ทำให้มีการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลตลอดจนแอพพลิเคชั่นต่างๆดีขึ้น รวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้บริการมัลติมีเดียได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยผ่านอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และเทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ และ อินเทอร์เน็ต เป็นต้น

อ้างอิงhttp://lovelovelover77.wordpress.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%

  ADSL ย่อมาจาก Asynchronous Digital Subscriber Line เป็นเทคโนโลยีโมเด็มแบบใหม่ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงคู่สายโทรศัพท์ที่เป็นแบบสายคู่ตีเกลียวที่มีอยู่เดิม ให้กลายเป็นเส้นทางเข้าถึงมัลติมีเดียและการสื่อสารข้อมูลด้วยความเร็วสูงได้ โดย ADSL สามารถสื่อสารด้วยความเร็วกว่า 6 Mbps ไปยังผู้ใช้บริการ และได้เร็วถึงกว่า 640 Kbps ในสองทิศทาง ซึ่งอัตราความเร็วดังกล่าว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความจุของสายโทรศัพท์แบบเดิมได้กว่า 50 โดยไม่ต้องลงทุนวางสายเคเบิลใหม่

          ADSL สามารถแปลงโครงข่ายข้อมูลข่าวสารพื้นฐาน ที่มีอยู่จากที่เคยจำกัดเพียงการให้บริการด้านเสียง ข้อความ และกราฟิกที่มีรายละเอียดไม่มากนัก ให้กลายเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้ได้กับมัลติมีเดีย รวมทั้งการส่งภาพเคลื่อนไหวที่สมบูรณ์แบบไปยังบ้านเรือนต่าง ๆ ในทศวรรษนี้ได้อย่างแพร่หลายทั่วไป

          ADSL จะก้าวเข้ามามีบทบาทที่สำคัญในอีกสิบกว่าปีข้างหน้านี้ เมื่อบรรดาบริษัทโทรศัพท์ต่าง ๆ พากันเข้าสู่ตลาดใหม่ทางด้านการส่งข้าวสารข้อมูล ในรูปของภาพและมัลติมีเดียกันมากขึ้น การวางสายเคเบิลเพื่อรองรับการส่งแบนด์กว้าง (Broadband) ใหม่คงต้องใช้เวลานานกว่าจะได้ลูกค้าตามเป้า ทว่าความสำเร็จของบริการใหม่เหล่านี้ยังคงต้องอาศัยการทำตลาด ประชาสัมพันธ์ถึงกลุ่มเป้าหมาย ที่จะเป็นผู้ใช้บริการค่อนข้างมาก และใช้เวลานาน 2-3 ปี
การนำเสนอรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ตัวอย่างวิดีโอที่มีให้เลือกดู รีโมท ซีดีรอม Corporate LAN และอินเทอร์เน็ต จนถึงประตูบ้านเรือนและสำนักงานขนาดเล็กนี้ ADSL สามารถที่จะทำให้ตลาดเหล่านี้เป็นจริงขึ้นมาได้ และเป็นประโยชน์แก่บริษัทโทรศัพท์ต่าง ๆ ตลอดจนผู้ให้บริการที่เกี่ยวเนื่องด้วย

ความสามารถของ ADSL

          วงจร ADSL เกิดขึ้นด้วยการต่อ ADSL modem เข้าที่ปลายแต่ละด้านของคู่สายโทรศัพท์ที่เป็นสายคู่ตีเกลียว ทำให้เกิดเป็นช่องสื่อสารข้อมูล (Information channel) ขึ้น 3 ช่อง คือช่องสำหรับดาวน์สตรีม (Downstream) ความเร็วสูง ช่องส่งดูเพล็กซ์ (Duplex) ความเร็วปานกลาง และช่องสำหรับให้บริการโทรศัพท์แบบเดิม (POTS) ทั้งนี้ช่องบริการโทรศัพท์แบบเดิมจะถูกแยกออกจากดิจิตอลโมเด็มด้วยฟิลเตอร์ จึงมั่นใจได้ว่า การสนทนาทางโทรศัพท์ตามปกติ จะไม่มีการถูกตัดหรือกระทบกระเทือนแต่อย่างใด แม้อุปกรณ์ ADSL จะมีปัญหาหรือขัดข้อง

          อนึ่ง ช่องความเร็วสูงนั้นมีอัตราความเร็วตั้งแต่ 1.5-6.1 Mbps ในขณะที่การสื่อสารข้อมูลแบบดูเพล็กซ์อยู่ในช่วงตั้งแต่ 16-40 Kbps และแต่ละช่องสัญญาณสามารถที่จะทำการ submultiplex ให้เป็นช่องสำหรับการส่งด้วยอัตราความเร็วต่ำ ๆ ได้หลาย ๆ ช่อง

         ADSL modem รองรับการสื่อสารข้อมูลในอัตราเดียวกันกับ digital hierachies ของอเมริกาเหนือและยุโรป (ดูตารางที่ 1) ผู้ใช้บริการสามารถเลือกซื้อบริการที่อัตราความเร็ว และความสามารถต่าง ๆ ได้ตามต้องการ ทั้งนี้ ADSL รูปแบบต่ำสุดให้ดาวน์สตรีมได้ 1.5 หรือ 2.0 Mbps และช่องดูเพล็กซ์ 16 Kbps อีกหนึ่งช่อง ส่วนรูปแบบอื่น ๆ ให้บริการได้ในอัตรา 6.1 Mbps และ 64 Kbps ดูเพล็กซ์
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ ADSL ที่สามารถให้ดาวน์สตรีมได้สูงถึง 8 Mbps และดูเพล็กซ์ที่อัตราสูงถึง 640 Kbps จำหน่ายในท้องตลาด โดย ADSL modem ใช้ได้กับ ATM Transport ที่มีอัตราความเร็วเปลี่ยนแปลงได้และชดเชย ATM overhead ได้ดีพอ ๆ กับ IP Protocol
สำหรับอัตราความเร็วดาวน์สตรีมนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เป็นต้นว่าความยาวของสายทองแดง ขนาดของสายที่ใช้ จำนวนของบริดจ์แทร็พ (bridged trap) และ cross-coupled interface ทั้งนี้การลดทอนในทางสายจะเพิ่มขึ้นตามความยาวของสายและความถี่ และลดลงเมื่อเส้นผ่าศูนย์กลางของสายลดลง ซึ่งหากไม่พิจารณาถึงบริดจ์แทร็พแล้ว ADSL จะช่วยให้สามารถสื่อสารข้อมูลได

         ค่าที่วัดได้ของแต่ละบริษัทโทรศัพท์นั้นอาจเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ได้ แต่สมรรถนะขนาดนี้ก็สามารถครอบคลุมการใช้งานได้ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ของ loop plant ที่ใช้แล้ว ขึ้นอยู่กับอัตราความเร็วในการสื่อสารข้อมูลที่ต้องการ อย่างไรก็ดีผู้ใช้บริการที่อยู่ในระยะทางดังกล่าวนี้ ยังคงอยู่ในวิสัยที่ให้บริการได้ด้วยระบบสื่อสารข้อมูลแบบดิจิตอล (digital loop carriers) หรือ DLC ที่ใช้เคเบิลใยแก้วนำแสง แต่เมื่อมีการนำระบบ DLC ที่ใช้เคเบิลใยแก้วนำแสง แต่เมื่อมีการนำระบบ DLC มาใช้งานในเชิงพาณิชย์แล้ว บริษัทโทรศัพท์สามารถที่จะสนองความต้องการ ในการใช้งานได้ในเวลาค่อนข้างสั้น
จากการที่เราใช้ประโยชน์จาก ADSL ได้สารพัดอย่าง จึงพอมองเห็นช่องทางที่จะนำ ADSL ไปใช้ในงานเกี่ยวกับวิดีโอที่บีบอัดสัญญาณแบบดิจิตอล (digital compressed video) ทว่าจากการที่สัญญาณเป็นแบบ real time ดิจิตอลวิดีโอจึงไม่สามารถใช้วิธีการควบคุม level error ของ link หรือโครงข่ายแบบที่มักพบใช้กันในระบบสื่อสารข้อมูลทั่ว ๆ ไปได้ เพราะฉะนั้นจึงนำ ADSL modem มาใช้งานร่วมกับ forward error correction บางแบบ เพื่อลดการผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ จากการคัพเพิลสัญญาณรบกวนอย่างต่อเนื่องเข้าไปในทางสาย

เทคโนโลยี ADSL

ADSL เป็นกระบวนการจัดการกับสัญญาณแบบดิจิตอลขั้นสูง และทำการบีบข้อมูล เพื่อส่งผ่านคู่สายโทรศัพท์ที่เป็นสายคู่ตีเกลียวไปยังปลายทาง นอกจากนี้ จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ในส่วนของทรานสฟอร์มเมอร์ อะนาล็อก ฟิลเตอร์ และ A/D Converter โดยทางสายโทรศัพท์ที่มีความยาวมาก ๆ นั้นอาจลดทอนสัญญาณที่ 1 MHz (ซึ่งอยู่นอกแบนด์ที่ ADSL ใช้) มากถึง 90 เดซิเบล ซึ่งผลักดันให้ส่วนที่เป็นอะนาล็อกของ ADSL modem ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อที่จะให้ใช้งานได้ในแถบความถี่ที่กว้างมาก สามารถแยกช่องสัญญาณ และมีตัวเลขของสัญญาณรบกวนต่ำ หากมองผิวเผินภายนอกแล้ว ADSL มีลักษณะคล้าย ๆ กับเป็นท่อส่งข้อมูล ซิงโครไนซ์ที่มีอัตราความเร็วขนาดต่าง ๆ ไปบนคู่สายโทรศัพท์ธรรมดา แต่เมื่อมองภายในที่มีการใช้ทรานซิสเตอร์ทำงานแล้ว เป็นเรื่องประหลาดที่มักเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ไปได้

          ในกรณีที่ต้องการให้เกิดเป็นช่องสื่อสัญญาณได้หลาย ๆ ช่องนั้น ADSL modem จะทำการแบ่งแถบความถี่ที่ใช้งานของคู่สายโทรศัพท์ออกไปอีก 1 ช่อง มี 2 แบนด์ คือเป็น FDM (Frequency Division Multiplexing) หรือ Echo Cancellation โดย FDM กำหนดให้ใช้แบนด์หนึ่งสำหรับอัพสตรีมข้อมูล และอีกแบนด์หนึ่งสำหรับดาวน์สตรีมจะถูกแบ่งด้วยวิธีการของ TDM (Time Division Multiplexing) เป็นช่องความเร็วสูง 1 ช่อง (หรือมากกว่า) และช่องความเร็วต่ำอีก 1 ช่อง (หรือมากกว่า) ส่วนกรณีของอัพสตรีมจะถูกมัลติเพล็กซ์เข้ากับช่องความเร็วต่ำที่สัมพันธ์กัน สำหรับ Echo Cancellation จะกำหนดให้แบนด์อัพสตรีมเกิดการเหลี่ยมกับของดาวน์สตรีม และแยกทั้งสองออกจากกันด้วย local echo cancellation ซึ่งเป็นเทคนิคหนึ่งที่คุ้นเคยกันดีในโมเด็ม V.32 และ V.34 ส่วนเทคนิคอื่น ๆ นั้น ADSL จะแยกย่านความถี่ 4 KHz ไว้สำหรับใช้กับบริการโทรศัพท์พื้นฐานที่ปลาย DC ของแบนด์

         ADSL ขณะทำการรวบรวม data stream ที่เกิดจากการมัลติเพล็กซ์ช่องดาวน์สตรีม ช่องดูเพล็กซ์ และช่องบำรุงรักษาเข้าเป็นบล็อก ๆ และใส่รหัส Error Correction เข้าแต่ละบล็อก จากนั้นทางด้านรับจะทำการแก้ไขความผิดพลาดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงของการสื่อสัญญาณให้อยู่ในระดับที่รับรู้ได้ด้วยรหัส และความยาวของบล็อก นอกจากนี้มันยังอาจจะสร้างบล็อกพิเศษอีก ด้วยการสอด (interleave) ข้อมูลเข้าไปภายในบล็อกย่อย (subblock) ซึ่งทำให้ภาครับสามารถแก้ไขความผิดพลาดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เป็นผลทำให้การส่งสัญญาณข้อมูลและภาพเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพพอ ๆ กัน

มาตรฐาน ADSL และสมาคมที่เกี่ยวข้อง

  เมื่อเร็ว ๆ นี้ กลุ่มทำงาน T1E1.4 ของสถาบันมาตรฐานแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (ANSI) ได้ให้การรับรองมาตรฐาน ADSL ที่อัตราความเร็วสูงถึง 6.1 Mbps แล้ว (มาตรฐาน ANSI T1.413) ทางด้านสถาบันมาตรฐานทางเทคนิคแห่งยุโรป (ETSI) ก็ได้ช่วยในการจัดทำภาคผนวกให้กับ T1.413 ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความต้องการของประเทศทางยุโรป ปัจจุบัน T1.413 ได้สรุปเรื่องของอินเทอร์เฟส เทอร์มินัลเดียวทางด้านผู้ใช้บริการแล้ว ส่วน Issue II (ซึ่งกลุ่ม T1E1.4 กำลังศึกษา) จะมีการขยายมาตรฐานออกไป เพื่อรวมถึงการอินเทอร์เฟสที่มีการมัลติเพล็กซ์กันทางปลายด้านผู้ใช้บริการ โปรโตคอลสำหรับรูปแบบและการบริหารโครงข่าย และการปรับปรุงด้านอื่น ๆ ด้วย
สมาคม ATM (ATM Forum) และ DAVIC ก็ให้การรับรองว่า ADSL เป็นโปรโตคอลสื่อสารใน physical layer สำหรับคู่สายตีเกลียวที่ไม่มีชีลด์ สมาคม ADSL (ADSL Forum) ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2537 เพื่อส่งเสริมแนวความคิดของ ADSL และช่วยในการพัฒนาโครงสร้างของระบบ ADSL โปรโตคอลและอินเทอร์เฟสสำหรับการใช้ของ ADSL ที่สำคัญ ๆ ปัจจุบันสมาคมมีสมาชิกกว่า 200 ราย จากบรรดาผู้ให้บริการ (SP) ผู้ผลิตอุปกรณ์ และบริษัทเซมิคอนดัคเตอร์ จากทั่วทุกมุมโลก

อ้างอิงhttp://www.com5dow.com/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B1%

5.IPv6, Cloud Computing Software Development, และ WebRTC มีลักษณะอย่างไรมีผลกระทบกับธุรกิจและกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันอย่างไร

ตอบ  IPv6 หรือ Internet Protocol version 6 คือ Protocol ล่าสุดของระบบอินเตอร์เน็ต

เดิมทีนั้น (รวมถึงทุกวันนี้) เราเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกันด้วย Internet Protocol version 4 หรือ IPv4 ซึ่งใช้กันมานานมาก จนทุกวันนี้ IPv4 ไม่เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว จึงได้มีการ Internet Protocol รุ่นใหม่คือ IPv6 ขึ้นมาเพื่อทดแทน โดยที่ IPv6 จะมีหมายเลข IP ให้ใช้มากกว่า IPv4 ถึง 2^96 เท่า

IPv4 คือตัวเลขฐาน 8 จำนวน 4 ชุด เป็นตัวเลขระบบ 32-bit เรียงตัวกันอยู่ในรูป aaa.bbb.ccc.ddd นั่นเอง เช่น 192.168.0.1 โดยที่ชุดแรกเรียกว่า IP Class A, ชุดที่ 2 เรียกว่า IP Class B, ชุดต่อมาเรียกว่า IP Class C และชุดสุดท้ายเรียกว่า IP Class D นั่นเอง

หมายเลข IP เหล่านี้เปรียบเสมือนบ้านเลขที่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบอินเตอร์เน็ตนั่นเอง เมื่อมีคอมพิวเตอร์มากขึ้น ความต้องการใช้หมายเลข IP ก็มีมากขึ้น จน IPv4 ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน จึงได้มีการพัฒนาหมายเลข IP ระบบ 128-bit ขึ้นมา (โดย  IETF  – The
Internet Engineering Task Force) ซึ่งจะอยู่ในรูปตัวเลขผสมตัวอักษรจำนวน 8 ชุด เช่น 0000:0002:AABC:6701:AD67:458D:0000:AAAA ซึ่งจะจัดชุดหมายเลข IP ให้เพียงพอต่อการใช้งานได้อีกหลายสิบปี

Cloud computing เป็นหลักการที่อธิบายถึงการที่ทรัพยากรทางด้านคอมพิวเตอร์(computational resources) อาทิหน่วยความจำหน่วยประมวลผลข้อมูลและแอปพลิเคชันต่างๆถูกนำมาเสนอให้แก่ผู้ใช้ในลักษณะของบริการ(services) บนอินเตอร์เน็ต ซึ่งผู้ใช้สามารถเรียกใช้บริการต่างๆเหล่านี้ได้ทั้งทางโทรศัพท์มือถือเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะเครื่องlaptop หรือแม้แต่จากเครื่องเล่นเกมส์ต่างๆส่วนชื่อของCloud computing นั้นก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสัญลักษณ์ก้อนเมฆ(หรือcloud) ซึ่งถูกใช้เพื่อแสดงถึงคอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์คหรืออินเตอร์เน็ตในflow charts และdiagrams ต่างๆนั่นเอง

นักวิชาการบางท่านได้เปรียบเทียบ

Cloud computing กับวิวัฒนาการของระบบไฟฟ้าเมื่อประมาณร้อยปีก่อนซึ่งธุรกิจต่างๆจำเป็นต้องผลิตกระแสไฟฟ้าใช้เองดังนั้นจำเป็นต้องเลือกสถานที่ที่มีทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเช่นน้ำหรือถ่านหินแต่หลังจากที่ระบบสาธารณูปโภคดีขึ้นมีการผลิตกระแสไฟฟ้าจากส่วนกลางที่สามารถแจกจ่ายไปยังที่ต่างๆได้ธุรกิจต่างๆจึงหยุดการผลิตกระแสไฟฟ้าลงและซื้อจากแหล่งผลิตกลางแทนเนื่องจากราคาถูกกว่าและมีความน่าเชื่อถือมากกว่านอกจากนั้นการที่ลดภาระเรื่องการผลิตกระแสไฟฟ้ายังช่วยให้ธุรกิจสามารถมุ่งเน้นเรื่องอื่นที่มีความสำคัญมากกว่าอีกด้วย

หากแปลแบบตรงตัว อาจจะเรียกว่า การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (อังกฤษ: cloud computing) เป็นลักษณะของการทำงานของผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ให้บริการใดบริการหนึ่งกับผู้ใช้ โดยผู้ให้บริการจะแบ่งปันทรัพยากรให้กับผู้ต้องการใช้งานนั้น การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ เป็นลักษณะที่พัฒนาขึ้นต่อมาจากความคิดและบริการของเวอร์ชัวไลเซชันและเว็บ เซอร์วิส โดยผู้ใช้งานนั้นไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในเชิงเทคนิคสำหรับตัวพื้นฐานการทำ งานนั้น

สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาให้คำจำกัดความ “cloud” ว่า มันเป็นอุปลักษณ์ จากคำในภาษาอังกฤษที่แปลว่า เมฆ[2] กล่าวถึงอินเทอร์เน็ตโดยรวม[3] ในรูปของโครงสร้างพื้นฐาน (เหมือนระบบไฟฟ้า ประปา) ที่พร้อมให้บริการกับผู้ใช้งานเมื่อมีความต้องการใช้[4] ผู้ให้บริการการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆส่วนใหญ่ จะให้บริการในลักษณะของเว็บแอปพลิเคชันโดยให้ผู้ใช้ทำงานผ่านเว็บเบราว์ เซอร์ ขณะเดียวกันซอฟต์แวร์และข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้ บริการ การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆนั้น ถูกอธิบายถึงโมเดลรูปแบบใหม่ของเทคโนโลยีสารสนเทศในการใช้งานบนอินเทอร์เน็ต ที่เน้นการขยายตัวได้อย่างยืดหยุ่น สามารถที่จะปรับขนาดได้ตามความต้องการของผู้ใช้ และมีการจัดสรรทรัพยากร[5][6] โดยเน้นการทำงานระยะไกลอย่างง่าย ที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นโครงสร้างพื้นฐาน[7] ตัวอย่างของการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆที่เป็นที่รู้จัก เช่น ยูทูบ โดยที่ผู้ใช้สามารถเก็บวิดีโอออนไลน์ได้ โดยไม่ต้องมีความรู้ในการสร้างระบบวิดีโอออนไลน์ หรือ ในระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น

การบริการบนระบบ

การบริการบนระบบการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆสามารถ แบ่งรูปแบบของชั้น ดังนี้การให้บริการซอฟต์แวร์ หรือ Software as a Service (SaaS) จะให้บริการการประมวลผลแอปพลิเคชันที่แม่ข่ายของผู้ให้บริการ และเปิดให้การบริการทางด้านซอฟแวร์ต่างๆ

การให้บริการแพลทฟอร์ม หรือ Platform as a Service (PaaS) เป็นการประมวลผล ซึ่งมีระบบปฏิบัติการ และการสนับสนุนเว็บแอปพลิเคชันเข้ามาร่วมด้วย

การให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน หรือ Infrastructure as a Service (IaaS) เป็นการให้บริการเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน มีประโยชน์ในการประมวลผลทรัพยากรจำนวนมาก

บริการระบบจัดเก็บข้อมูล หรือ data Storage as a Service (dSaaS) ระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ไม่จำกัด รองรับการสืบค้นและการจัดการข้อมูลขั้นสูง

บริการร่วมรวมลำดับความเชื่อมโยง หรือ Composite Service (CaaS) คือส่วนทำหน้าที่รวมโปรแกรมประยุกต์ หรือจัดลำดับการเชื่อมโยงแบบ workflow ข้ามเครือข่าย รวมถึงการจัดการด้านความปลอดภัย

ส่วนประกอบของ cloud computing

เนื่องจาก cloud computing จะต้องรองรับผู้ให้บริการจำนวนมาก และผู้ใช้บริการก็มีความคาดหวังไว้ว่า บริการหรือ applications ที่ได้นั้นจะต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็ว,ปลอดภัย และ พร้อมที่จะใช้งานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใดก็ตาม ดังนั้น ผู้ให้บริการ cloud computing จะต้องมีการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐาน(Infrastructure) ของระบบที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1.Transparency -ใน cloud computing จะต้องมีการใช้ Transparent load-balancing คือ ความพยายามที่จะทำให้เกิด balance ในการทำงานเมื่อมีการเรียกใช้ application จากผู้ใช้หลายๆคนพร้อมกัน โดยจะกระจาย load หรืองานไปให้เครื่องหรือ server อื่นๆเพื่อช่วยในการทำงาน อย่างเช่น ปกติการให้บริการจะ run อยู่บน server ตัวเดียว แต่เมื่อไหร่ก็ตามมีผู้ใช้งานจำนวนมากและจำเป็นต้องใช้ server เพิ่มขึ้น transparency จะอนุญาตให้มีการประสานงานกับ server อื่นๆได้โดยที่ไม่ต้องขัดจังหวะการทำงานหรือต้องติดตั้งระบบกันใหม่ อย่างนี้เป็นต้นส่วน application deliveryหรือการให้บริการระบบงาน จะช่วยตอบสนองความต้องการให้ application และข้อมูลทุกรูปแบบได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนและเวลาใดก็ตาม
2.Scalability คือ สามารถปรับขนาดระบบได้ตามภาระงาน
3.Intelligent Monitoring มีระบบที่สามารถตรวจสอบได้ว่า application หรือ service มีปัญหาอะไร ตรงไหนบ้าง
4.Security เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ใน cloud ซึ่งก็มีความเสี่ยงอยู่เหมือนกันที่ข้อมูลสำคัญๆอาจจะถูกขโมยหรือเกิดความเสียหายจากการโจมตีระบบได้ ดังนั้นสถาปัตยกรรมของ

cloud computing จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับต้นๆ รูปแบบของ cloud แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ

1.Public clouds มี server จำนวนมากและตั้งอยู่หลายๆที่ ซึ่งผู้ใช้จะใช้บริการผ่าน web application หรือ web service
2.Private cloud ผู้ใช้บริการเป็นผู้บริหารจัดการระบบเอง โดยจะมีการจำลอง cloud computing ขึ้นมาใช้งานใน network ส่วนตัว รูปแบบนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายเพราะมีการแชร์ทรัพยากรร่วมกัน และ มีความสะดวกเนื่องจากผู้ให้บริการจะมีหน้าที่ติดตั้งระบบและดูแลรักษาให้
3.Hybrid cloud ประกอบขึ้นด้วยผู้ให้บริการแบบ public และ private ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางระบบ enterprise

อ้างอิง http://www.itnews24hrs.com/cloud-computing%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B

 WebRTC ชื่อเต็มคือ Web Real-Time Communication เป็น javascript api ใหม่ที่สามารถทำให้คุยแบบเห็นหน้า ได้ยินเสียง และแชร์ไฟล์หากันแบบ P2P ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมเสริมใดๆ โดย Google ได้นำเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารแบบเรียลไทม์มาเป็น OpenSource Project ของโครงการ WebRTC ไปแล้ว ซึ่งโครงการ WebRTC คือการสร้าง API มาตรฐานสำหรับการดึงไมโครโฟนและเว็บแคมของคอมพิวเตอร์มาใช้งาน ทำให้เว็บสามารถดึงภาพและเสียงจากเครื่องแล้วส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ได้ตามเวลาจริง ดังนั้นเราจึงสามารถสร้างห้องแชตวิดีโอโดยไม่ต้องการปลั๊กอินใดๆ เพิ่มเติม ต่างไปจากทุกวันนี้ที่ Google Talk, และ Hangout ของกูเกิล ยังคงต้องการปลั๊กอิน Google Talk แยกออกมาเพื่อทำงานนอกจากทางนั้นทางโครงการยังทำงานร่วมกับผู้พัฒนาเบราว์เซอร์อย่าง Mozilla และ Opera ในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้ถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ในขณะเดียวกันทางโครงการก็เข้าร่วมกับ IETF และ W3C ในการกำหนดและพัฒนามาตรฐานของการติดต่อสื่อสารแบบเรียลไทม์อีกด้วยต่อจากนี้เทคโนโลยีบนเว็บแอพพลิเคชั่น จะมีความสามารถทัดเทียม กับแอพพลิเคชั่นบน Desktop ได้มากขึ้น และนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีสร้างสรรค์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

 อ้างอิง http://inetbangkok.in.th/?p=918

Leave a comment